ข้อสอบปลายภาค
คำสั่งข้อสอบมีทั้งหมด 7 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ห้ามลอกกันเขียนคำตอบโดยใช้สำนวนเหมือนกันถือว่ามิใช่ความคิดของนักศึกษาเอง
ปรับให้ตกทั้งคู่ ข้อละ 10 คะแนน
______________________________________________________
1. กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษา
มีที่มาความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร อธิบายพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบอย่างย่อ
ๆ ให้ได้ใจความพอเข้าใจ.
ตอบ
กฎหมายทั่วไป
มีที่มาแตกต่างจาก กฎหมายการศึกษา ด้วยเหตุเพราะ กฎหมายทั่วไป
เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเป็นหลักประกัน หรือพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนจากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของฝ่ายปกครอง
ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือของฝ่ายปกครองที่ใช้เพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ
ซึ่งโดยข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมหนึ่ง
ๆ ทำให้เห็นได้ว่า ลำพังเพียงกฎหมายลายลักษณ์อักษร นั้น ถึงแม้จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้เพื่อแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เพราะสังคมพัฒนาไป ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม
รวมทั้งความสัมพันธ์ของปัจเจกชนกับรัฐก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้น
การพัฒนาหลักกฎหมายทั่วไปขึ้นมาใช้เพื่ออุดช่องว่างของกฎหมายโดยศาล จึงเป็นสิ่งจำเป็นของสังคมทุกสังคม อันเป็นหลักการพื้นฐานของระบบการเมืองการปกครองและรากฐานของระบบกฎหมายในสังคมนั้น
ๆ มาพัฒนาเป็นหลักกฎหมายทั่วไปใช้บังคับกับคดีที่เกิดขึ้น กล่าวคือ
ศาลเป็นผู้นำหลักอันเป็นนามธรรมมาใช้เป็นหลักที่เป็นรูปธรรมนั้นเอง
แต่
กฎหมายการศึกษาในปัจจุบัน ได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับการศึกษา ที่มีที่มาสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม
จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ
ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
…………………………………………………………………………………………………………
2. รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา
มีสาระหลักที่สำคัญอย่างไร ในประเด็นอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
ยกตัวอย่างประกอบ พอเข้าใจ (รัฐธรรมนูญตั้งแต่แต่ฉบับแรกถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2550)
ตอบ
สิทธิ
เสรีภาพในด้านการศึกษานั้นได้เริ่มรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช
2475 “ ภายในบังคับแห่งบทกฎหมายบุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ใน…… การศึกษาอบรม…… การอาชีพ” โดยมาตรานี้ได้รับรองเสรีภาพในการศึกษาอบรมของบุคคลโดยทั่วไป รวมทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2489 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2490 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 และฉบับอื่นๆนั้นได้บัญญัติรับรองเสรีภาพในการศึกษาอบรมของประชาชนโดยทั่วไป
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2517 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้การได้รับการศึกษาเป็นสิทธิ
“บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ.....”และในมาตราเดียวกันก็ได้รับรองเสรีภาพในการศึกษาอบรมของคนโดยทั่วไปอีกด้วย
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา มีสาระหลักที่สำคัญว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกาาอบรมของรัฐต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน
ทั้งนี้ ตามที่ กฎหมายบัญญัติ
การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพและเอกชนภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ
ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุน
ให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม
จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ
ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้อง กับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
สร้างเสริมความรู้ และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปวิทยาการต่าง ๆ เร่งรัดพัฒนา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
ก็มีสาระที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา คือ บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น
การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือเอกชน การศึกษาทางเลือกของประชาชน
การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ย่อมได้รับการคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากรัฐ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ การศึกษาอบรม
การเรียนการสอน การวิจัย
และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการย่อมได้รับการคุ้มครอง ทั้งนี้
เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
.............................................................................................................
3. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ มีกี่มาตรา
และมีความสำคัญอย่างไร
และประเด็นหรือมาตราใดที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและต้องยึดถือปฏิบัติ
ตอบ
พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 มี 20 มาตรา
มีความสำคัญ เนื่องด้วย เหตุผลในการประกาศให้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือโดยที่กฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติได้กำหนดให้บิดา มารดา
หรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวนเก้าปี
โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่จะสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ จึงสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประถมศึกษา
เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ประเด็นหรือมาตราที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและต้องยึดถือปฏิบัติ ได้แก่
มาตรา 6 ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา เมื่อผู้ปกครองร้องขอ
ให้สถานศึกษามีอำนาจผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
มาตรา 11 ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้ปกครอง มีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วย ต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่เด็กมาอาศัยอยู่ เว้นแต่ผู้ปกครองได้อาศัยอยู่ด้วยกับผู้นั้น
มาตรา 13 ผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 6
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
…………………………………………………………………………………………
4. ท่านเข้าใจว่า
หากมีใครเข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น สามารถมาปฏิบัติการสอนได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้มีความผิดหรือบทกำหนดโทษอย่างไร ถ้าได้จะต้องกระทำอย่างไรมิให้ผิด
ตามพระราชบัญญัตินี้
ตอบ
สามารถมาปฏิบัติการสอนได้
แต่ต้องมีคุณสมบัติการพิจารณาอนุญาต ดังต่อไปนี้
๑. มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี
๒. มีคุณวุฒิตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา
หรือเทียบเท่า
(๒) มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ที่ก.ค.ศ.รับรอง ซึ่งกำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครู
และเป็นวุฒิปริญญาในสาขาที่สอดคล้องกับระดับชั้นที่เข้าสอน ตามที่คุรุสภากำหนด ยกเว้นโรงเรียนในพระราชดำริ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
โรงเรียนโครงการพิเศษต่างๆ ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด
และมีคะแนนเฉลี่ย ๒.๕ ขึ้นไป โรงเรียนถิ่นทุรกันดาร หรือโรงเรียนเสี่ยงภัย
ตามประกาศของทางราชการ
และจัดให้มีการอบรมในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนเบื้องต้นด้วย
๓.
ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๔๖
๔. การให้ความรู้สาขาต่างๆในโรงเรียนโดยได้รับการเรียนเชิญจากโรงเรียน ดำเนินการให้ความรู้ ได้แก่ วิทยากรด้านต่างๆ ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ
๔. การให้ความรู้สาขาต่างๆในโรงเรียนโดยได้รับการเรียนเชิญจากโรงเรียน ดำเนินการให้ความรู้ ได้แก่ วิทยากรด้านต่างๆ ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ
…………………………………………………………………….
5. สมบัติ เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง
ได้ประพฤติผิดกระทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน หากเราพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.
2546 จะต้องทำอย่างไร และมีบทลงโทษอย่างไร
ตอบ
หากพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เมื่อเด็กหรือเยาวชนถูกกระทำอันเป็นการทารุณกรรม
จะต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก อันได้แก่
มาตรา 40 เด็กที่พึงได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ ได้แก่
เด็กที่ถูกทารุณกรรม เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด
และเด็กที่อยู่ในสภาพที่จะต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 41 ให้ผู้พบเห็นพฤติการณ์ที่มีการทารุณกรรมต่อเด็กให้รีบแจ้งต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง
หรือตำรวจโดยทันทีและให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจแยกตัวเด็กจากครอบครัวโดยเร็วที่สุด
มาตรา 42 การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ต้องจัดให้มีการรักษาทางร่างกายและจิตใจทันที
ถ้าเจ้าพนักงานเห็นสมควร อาจส่งตัวเด็กไปสถานแรกรับก่อนก็ได้ในระหว่างการสืบเสาะและพินิจเพื่อหาวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสม
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๗๘ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗๙ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๗ มาตรา ๕๐ หรือมาตรา ๖๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
…………………………………………………………………………………………………………
6. ช่วงที่นักศึกษาไปทดลองสอนที่โรงเรียนเทอม 2 และในเทอมต่อไป
นักศึกษาเข้าไปทดลองสอนจริง นักศึกษาคิดว่าจะนำกฎหมายการศึกษาไปใช้โดยกำหนดคนละ 2 ประเด็นที่คิดว่าจะนำกฎหมาย ไปใช้ได้
พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ
1. นำกฎหมายการศึกษาไปใช้ในเรื่อง ระเบียบการลงโทษนักเรียน โดยพึงระลึกไว้เสมอว่า
ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง
หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท
โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา
และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด
และกลับประพฤติตนในทางที่ดีต่อไป ให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา
หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษามอบหมาย
เป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษนักเรียน นักศึกษา การว่ากล่าวตักเตือน
ใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษากระทำความผิดไม่ร้ายแรงการทำทัณฑ์บนใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพนักเรียนหรือนักศึกษา
ตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา
หรือกรณีทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของสถานศึกษา
หรือฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา หรือได้รับโทษว่ากล่าวตักเตือนแล้ว
แต่ยังไม่เข็ดหลาบ การทำทัณฑ์บนให้ทำเป็นหนังสือ
และเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บนไว้ด้วย
การตัดคะแนนความประพฤติ
ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนดและให้ทำบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐานทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใช้ในกรณีที่นักเรียนและนักศึกษากระทำความผิดที่สมควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
2. นำกฎหมายการศึกษาไปใช้ใน เรื่อง
แนวการจัดการศึกษา โดยการจัดการศึกษาที่ยึดหลักว่า
ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
ผู้เรียนทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ดังนั้นกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน
ได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ การจัดการศึกษาทั้งสามรูปแบบในหมวด 3 ต้องเน้นทั้งความรู้ คุณธรรม และ
กระบวนการเรียนรู้ ในเรื่องสาระความรู้ ให้บูรณการความรู้และทักษะด้านต่าง ๆ
ให้เหมาะสมกับแต่ ละระดับการศึกษา ได้แก่ ด้านความรู้เกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสังคม
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย
และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา ด้านภาษา โดยเฉพาะการใช้ภาษาไทย ด้านคณิตศาสตร์
ด้านการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ในเรื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมที่สอดคล้องกับ
ความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน และความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมทั้งให้ฝึกทักษะ
กระบวนการคิด การจัดการการเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ปัญหา
จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติจริง ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างสมดุล
และปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชา นอกจากนั้น
ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ยังต้องส่งเสริมให้ผู้สอน จัดบรรยากาศ
และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ
จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน
รวมทั้งส่งเสริมการดำเนินงาน และการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ การประเมินผลผู้เรียน
ให้สถานศึกษาพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ ประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน
การร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ส่วนการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ ให้ใช้วิธีการที่หลากหลายและนำผลการประเมินผู้เรียนมาใช้ประกอบด้วย
หลักสูตรการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท ต้องมีความหลากหลาย โดยส่วน
กลางจัดทำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เน้นความเป็นไทยและความเป็นพลเมืองดี
การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อและให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม
ภูมิปัญญาท้องถิ่น และคุณลักษณะของสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชนสังคมและประเทศชาติ
สำหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มเรื่องการพัฒนาวิชาการ
วิชาชีพชั้นสูงและการค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และสังคมศึกษา
.................................................................................................................................
7. ให้นักศึกษาสะท้อนความคิดการใช้ เว็บล็อก (weblog)
ในการนำมาใช้จัดการเรียนการสอนวิชานี้ พอสังเขป
ตอบ
การใช้เว็บบล็อก (weblog) ในการนำมาใช้จัดการเรียนการสอนวิชานี้ มีจุดเด่นและก่อเกิดประโยชน์มากมายต่อการเรียนรู้ของนักศึกษา ก็คือ สามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก
(ผู้สอน) และผู้อ่านบล็อก (ผู้เรียน) ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้นผ่านทางระบบต่างๆของเว็บบล็อก สามารถเรียนรู้กระบวนการทำงาน เป็นแหล่งความรู้ใหม่ๆ ที่ถูกต้องและชัดเจน การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านใน Blog ต่างๆ ก็ทำให้เราค้นพบความรู้ และผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ
ได้รวดเร็วขึ้น ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน
เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย(ทั่วโลก) และมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ
อีกทั้งไม่ต้องใช้ความรู้ทางคอมพิวเตอร์ชั้นสูงก็สามารถทำได้
ไม่ต้องขอพื้นที่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเหมือนเว็บไซต์ทั่วไป
สามารถบรรจุภาพนิ่ง เสียง
และภาพเคลื่อนไหวเหมือนเว็บไซต์ทั่วไปได้ สามารถใช้งานหรือปรับแต่งให้สวยงามได้ด้วยตนเอง
นำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี ทำให้นักศึกษาสามารถสร้างสรรค์องค์ประกอบต่างๆ
ที่เป็นประโยชน์กับการทำงานได้หลายอย่าง และสามารถเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น
ๆ ได้ตามต้องการ เว็บบล็อกจะทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนหรือผู้เรียนกับผู้เรียนได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ที่มีอินเตอร์เน็ตใช้ ผู้เรียนสามารถค้นคว้าความรู้ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทเรียนได้จากเว็บไซต์อื่นได้มากมายมหาศาล ทำให้ผู้เรียนเข้าถึงสาระของเนื้อหาที่สอนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ดังนั้นการใช้เว็บบล็อกในการเรียนการสอน จึงเป็นสื่อการสอนอีกชนิดหนึ่งที่จะช่วยให้ครูอาจารย์จัดการเรียนการสอนได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น